วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

สูตรอาหาร : ปลาทับทิมนึ่งขิงเต้าเจี้ยว


ปลาทับทิมนึ่งขิงเต้าเจี้ยว





เครีองปรุง

ปลาทับทิม
ขิงสดหั่นฝอย
กระเทียมแกะเปลือกสับ
ใบขึ้นฉ่าย
ต้นหอมสด
ตะไคร้ทุบ
พริกสด
เต้าเจี้ยวอย่างดี
น้ำตาลทราย
ผงปรุงรสดี



 วิธีทำ

ล้างปลาด้วยน้ำส้มสายชู จากนั้นล้างด้วยน้ำเปล่า ทุบตะไคร้ยัดใส่ท้องปลา

ต่อไปก็ ปรุงเครื่องเต้าเจี้ยวประมาณ 3 ช้อนโต๊ะ ใส่น้ำตาล 2 ช้อนชา ผงปรุงรสรสดี 1 ช้อนชา ***ไม่ใส่น้ำปลา


ได้น้ำปรุงแล้วก็จัดวางปลาใส่จานนึ่ง ราดน้ำปรุงให้ทั่วทั้ง 2 ด้าน โรยหน้าด้วยกระเทียมสับ ขิงสด ต้นหอม ขึ้นฉ่าย พริกสด

ได้น้ำปรุงแล้วก็จัดวางปลาใส่จานนึ่ง ราดน้ำปรุงให้ทั่วทั้ง 2 ด้าน โรยหน้าด้วยกระเทียมสับ ขิงสด ต้นหอม ขึ้นฉ่าย พริกสด

ประโยชน์ ของ ขิง


ขิง



สรรพคุณ :

เหง้าแก่สด 
- ยาแก้อาเจียน
- ยาขมเจริญอาหาร
- ยาแก้ท้องขึ้น ท้องอืดเฟ้อ ขับลม
- แก้ไอ ขับเสมหะ บำรุงธาตุ
- สามารถต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร ลดอาการจุกเสียดได้ดี
- มีฤทธิ์ในการขับน้ำดี เพื่อย่อยอาหาร
- แก้ปากคอเปื่อย แก้ท้องผูก
- ลดความดันโลหิต
ต้น - ขับผายลม แก้จุกเสียดแน่นเฟ้อ แก้นิ่ว บำรุงไฟธาตุ แก้คอเปื่อย ช่วยย่อยอาหาร ฆ่าพยาธิ แก้โรคตา แก้บิด แก้ลมป่วง แก้ท้องร่วงอย่างแรง แก้อาเจียน
ใบ - แก้โรคกำเดา ขับผายลม แก้นิ่วแก้เบาขัด แก้คอเปื่อย บำรุงไฟธาตุ ช่วยย่อยอาหาร ฆ่าพยาธิ แก้โรคตา  ขับลมในลำไส้
ดอก - ทำให้ชุ่มชื่น แก้โรคตาแฉะ ฆ่าพยาธิ ช่วยย่อยอาหาร แก้คอเปื่อย บำรุงไฟธาตุ  แก้นิ่ว แก้เบาขัด แก้บิด

ผล - แก้ไข้

วิธีและปริมาณที่ใช้ :
ยาแก้อาเจียน
ใช้ขิงแก่สด หรือแห้ง ขิงสดขนาดหัวแม่มือ (ประมาณ 5 กรัม) ทุบให้แตก ถ้าแห้ง 5-7 ชิ้น ต้มกับน้ำดื่ม
นำขิงสด 3 หัว หัวโตยาวประมาณ 5 นิ้ว ใส่น้ำ 1 แก้ว ต้มจนเหลือ 1/2 แก้ว (ประมาณ 15-20 นาที หลังจากเดือดแล้ว) รินเอาน้ำดื่ม
ยาขมเจริญอาหาร
ใช้เหง้าสดประมาณ 1 องคุลี ถ้าผงแห้งใช้ 1/2 ช้อนโต๊ะ หรือประมาณ 0.6 กรัม
ผงแห้งชงกับน้ำดื่ม เหง้าสดต้มน้ำ หรือปรุงอาหาร เช่น ผัด หรือรับประทานสดๆ เช่น กับลาบ แหนม และอื่นๆ
แก้อาการท้องอืดเฟ้อ จุกเสียดและปวดท้อง
- น้ำกระสายขิง น้ำขิง 30 กรัม มาชงด้วยน้ำเดือด 500 ซีซี ชงแช่ไว้นาน 1 ชั่วโมง กรองรับประทานครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ
- ใช้ขิงแก่ต้มกับน้ำ รินน้ำดื่มแก้โรคจุกเสียด ทำให้หลับสบาย
- ขิงแก่ยาว 2 นิ้ว ทุบพอแหลก เทน้ำเดือดลงไปครึ่งแก้ว ปิดฝา ตั้งทิ้งไว้นาน 5 นาที รินเอาแต่น้ำมาดื่มระหว่างอาหารแต่ละมื้อ
- ใช้ผงขิงแห้ง 1 ช้อนโต๊ะปาดๆ หรือ 0.6 กรัม ถ้าขิงแก่สดยาวประมาณ 1 องคุลี หรือประมาณ 5 กรัม ต้มกับน้ำ เติมน้ำตาลดื่มทุกๆ วัน ถ้าเป็นผงขิงแห้งให้ชงน้ำร้อน เติมน้ำตาลดื่ม
แก้ไอและขับเสมหะ 
ใช้ขิงสดฝนกับน้ำมะนาว แทรกเกลือ ใช้กวาดคอหรือจิบบ่อยๆ
ลดความดันโลหิต
ใช้ขิงสดเอามาฝานต้มกับน้ำรับประทาน

หมูสับผัดกระเพรา




หมูสับผัดกระเพรา



ส่วนผสม

น้ำมันพืชสำหรับผัด 50 cc.
กระเทียมสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูสับละเอียด 2 ช้อนโต๊ะ
พริกขึ้หนูบุบ 20 กรัม
เนื้อหมูสับ 200 กรัม
ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
ซอสปรุงรส 1 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
น้ำซุปไก่ 2 ช้อนโต๊ะ
ใบกระเพราเด็ดเป็นใบ 10 กรัม
ข้าวสวยกด
ไข่เป็ดดาวจนสุก 1 ฟอง

วิธีทำ

ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ ตั้งไฟพอร้อน ใส่กระเทียมกับพริกขึ้หนูผัดจนมีกลิ่นหอม
ใส่เนื้อหมูลงผัดจนสุกเหลือง พริกขี้หนูบุบ ปรุงรสด้วยซอสหอยนางรม ซอสปรุงรส น้ำตาลทราย และน้ำซุปไก่
ผัดจนเข้ากัน ใส่ใบกระเพรา ผัดจนกระทั่งสุก ตักราดบนข้าวสวย รับประทานคู่กับไข่ดาว

ประโยชน์ : กระเพรา


กระเพรา




สรรพคุณกะเพรา

ใบ บำรุงธาตุไฟธาตุ ขับลมแก้ปวดท้องอุจจาระ แก้ลมตานซาง แก้จุกเสียด แก้คลื่นเหียนอาเจียน และขับลม
เมล็ด เมื่อนำไปแช่น้ำเมล็ดจะพองตัวเป็นเมือกขาว ใช้พอกบริเวณตา เมื่อตามีผง หรือฝุ่นละอองเข้า ผงหรือฝุ่นละอองนั้นก็จะออกมา ซึ่งจะไม่ทำให้ตาเรานั้นช้ำอีกด้วย
ราก ใช้รากที่แห้งแล้ว ชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม แก้โรคธาตุพิการ[
น้ำสกัดทั้งต้นมีฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้ สามารถรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ในใบมีฤทธิ์ขับน้ำดี ช่วยย่อยไขมันและลดอาการจุกเสียด
ใบและกิ่งสดเมื่อนำมาสกัดน้ำมันหอมระเหยโดยการต้มกลั่น (hydrodistillation) ได้น้ำมันหอมระเหยร้อยละ 0.08-0.10 ซึ่งมีราคา 10,000 บาทต่อกิโลกรัม

กะเพราลดน้ำตาลและไขมัน

ข้าวผัดกระเพรา เป็นอาหารที่ทุกคนมักจะรู้จัก และคุ้นเคยอย่างดี สาเหตุส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเป็น อาหารที่ปรุงง่าย ไม่มีพิธีรีตองอะไรมากมายแถมรสชาติก็อร่อย

         นอกจากจะมีกลิ่นหองเฉพาะตัว ยังมีสรรพคุณทางยามากมาย เช่น ใบสดของกะเพรามีน้ำมัน หอมระเหยอยู่ ซึ่ง ประกอบด้วย linaloo และmethyl chavicol เป็นยาแก้ขับลม ท้องอืด ท้องเฟ้อปวด ท้อง บำรุงธาตุ ขับผายลม แก้อาการจุกเสียดในท้อง ให้ใช้ใบสด หรือยอดอ่อน สัก 1 กำมือ มาต้มให้ เดือด แล้วกรองเอาน้ำดื่ม แต่ถ้าใช้กับเด็ก ทารกให้นำเอามาตำให้ละเอียดคั้นเอาน้ำนำมา ผสมกับ น้ำยามหาหิงคุ์แล้วใช้ทาบริเวณ รอบๆ สะดือ และทาที่ฝ่าเท้า แก้อาการปวดท้องของ เด็กได้ และน้ำที่ เราเอามาคั้นออกจากใบยังใช้ ขับเสมหะ ขับเหงื่อ หรือ ใช้ทาภายนอกแก้โรค ผิวหนัง กลาก เกลื้อนได้ นอกจากนี้ ใบสดยังนำมาผัด หรือนำมาแกงเป็นอาหาร ได้อีกด้วย

         สำหรับ ใบแห้ง ใช้ชงดื่มกับน้ำ แก้ท้องขึ้น และน้ำมันที่ได้จากใบกะเพรานั้น สามารถยับยั้ง การเจริญเติบโตของเชื้อโรคบางชนิด ช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางอย่าง และมีฤทธิ์ฆ่ายุงได้ ซึ่งจะมีฤทธิ์ ได้นาน 2 ชั่วโมง เมล็ดกะเพรา เมื่อนำไปแช่น้ำเมล็ดก็จะพองตัวเป็นเมือก ขาว ให้ใช้พอกในบริเวณตา เมื่อตามีผงหรือฝุ่น ละอองเข้า ผงหรือฝุ่นละออง จะออกมา ซึ่งจะไม่ทำให้ตาของเราช้ำ รากกะเพรา ใช้รากที่แห้งแล้ว ชงหรือต้มกับน้ำร้อนดื่ม แก้โรคธาตุพิการ ทั้งนี้มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ระบุว่า กะเพรา มีฤทธิ์ในการลดน้ำตาลในเลือด และลดไขมันได้

ข้อมูลจาก
- วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
- หนังสือพิมพ์พิมพ์ไทย 

แกงขมิ้น





เครื่องปรุง


ปลาทูสด หรือปลาช่อนก็ได้ 1 ก.ก.
มะนาว 1 ลูก
กะปิเผา 1 ช้อนโต๊ะ
ขมิ้นผง(แบบซอง) 2 ช้อนชา
พริกขี้หนูแห้ง 25-40 เม็ด ตามชอบ
กระเทียมปลอกแล้ว 3 หัว
หน่อไม้เปรี้ยว 1/2 ก.ก.
น้ำปลา 4 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะขามเปียก 1/2 ถ้วย




วิธีทำ


ตำพริกขี้หนูแห้ง , กะปิ , ขมิ้น , กระเทียม เข้าด้วยกัน
ตักใส่หม้อต้มน้ำที่กำลังต้มน้ำไว้แล้ว 5-6 ถ้วย
ตัดปลาเป็นชิ้นพอเหมาะ
เมื่อน้ำเดือด ใส่ปลาลงไป
ถ้าน้ำยังไม่เดือดห้ามคน จะทำให้คาว
เมื่อปลาสุกได้ที่ ใส่ผักลงไป
ใส่น้ำมะขามเปียก และน้ำมะนาว

ขมิ้นชัน


ขมิ้นชัน



ใช้กินเหง้าของขมิ้นชัน โดยการปอกเปลือก หรือตากแห้งแล้วบดเป็นผงใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่าง และแบบผงบรรจุแคปซูลเพื่อสะดวกแก่การกิน

ขมิ้นชันมีประโยชน์ และสรรพคุณ หลายประการดังนี้
ขมิ้นชันมีวิตามิน เอ,ซี,อี ทั้ง 3 ตัว วิตามินที่เข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำงานได้ ต้องมีพร้อมกันทั้ง 3 ตัว ซึ่งจะมีผลทำให้ 

- ช่วยลดไขมันในตับ
- สมานแผลภายในกระเพาะอาหาร
- ช่วยย่อยอาหาร
- ทำความสะอาดให้ลำไส้
- เปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้อ
- ต้านอนุมูลอิสระป้องกันการเกิดมะเร็งในตับ
- สร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนัง
- กำจัดเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารที่กินเข้าไปแล้วสะสมในร่างกายเตรียมก่อตัวเป็นเซลล์มะเร็ง
- ช่วยขับน้ำนมสำหรับสตรีหลังคลอดบุตรได้ดี รองมาจากการกินหัวปลี

วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556

ประโยชน์ : มะละกอ


มะละกอ




ประโยชน์ด้านอื่นๆ ของมะละกอ



ในต่างประเทศ ประชาชนส่วนใหญ่รู้จักมะละกอในฐานะผัก เพราะมะละกอสุกเป็นผลไม้ที่ดีมากชนิดหนึ่ง เป็นที่นิยมกินกันทั่วโลกไม่เฉพาะในเขตร้อนที่ปลูกมะละกอได้เท่านั้น แต่ยังนำเข้าไปในประเทศเขตอบอุ่นที่ปลูกมะละกอไม่ได้อีกด้วย มะละกอสุกสามารถกินสด บรรจุกระป๋อง นำไปทำแยม และทำน้ำผลไม้ได้ดี มีรสอร่อย สีสวยน่ากิน คุณค่าทางโภชนาการสูง มีคุณค่าทางสมุนไพร มีผลให้กินตลอดปี ผลิตได้ง่าย ราคาไม่แพง ฯลฯ มะละกอมีความสำคัญมากในอุตสาหกรรมผลิตเอนไซม์ปาเปอีน (papain) ซึ่งเป็นเอนไซม์ช่วยย่อยอาหารหมัก ทำให้เนท้อเปื่อยนุ่ม ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง เป็นต้น


เอนไซม์ปาเปอีนได้จากยางมะละกอ ซึ่งกรีดแผลบนผลมะละกอดิบแล้วปล่อยให้แห้ง นำยางมะละกอแห้งมาสกัดเอนไซม์ปาเปอีน และเอนไซม์อื่นๆ บางชนิด ยางมะละกอนี้แม่บ้านชาวไทยรู้จักนำมาใช้ประโยชน์นานแล้ว เช่น ใช้หมักเนื้อให้อ่อนนุ่ม ใส่ในต้มแกงให้เนื้อเปื่อยยุ่ย เป็นต้น


มะละกอมีคุณค่าด้านสมุนไพรมากมายแทบทุกส่วนของพืชชนิดนี้ เช่น


ยาง แก้ปวดฟัน ถ่ายพยาธิไส้เดือน กัดหูด ใช้ลบรอยฝ้าบนใบหน้า
ราก ต้มกินขับปัสสาวะ
เมล็ดแก่ ถ่ายพยาธิ แก้กระหายน้ำ
ใบ บำรุงหัวใจ
ผลดิบ เป็นยาระบายอ่อนๆ ขับปัสสาวะ
ผลสุก บำรุงธาตุ แก้ธาตุไม่ปกติ แก้กระเพาะอาหารอักเสบ ช่วยย่อยอาหาร เป็นยาระบายอ่อนๆ

ยำผสมไข่ต้มแตงกวา


ยำผสมไข่ต้มแตงกวา




- ไข่ต้มสุก  2  ฟอง
- เนื้อกุ้งลวก  1/2  ถ้วย
- หอมหัวใหญ่หั่นขวางบาง  1  หัว
- แตงกวาซอยหยาบ  3-4  ผล
- ผักชี ใบสะระแหน่อย่างละเล็กน้อย  

ส่วนผสมน้ำยำ   

- รากผักชี  1-2  ราก
- พริกไทยเม็ด  1/2  ช้อนชา
- กระเทียมกลีบเล็ก  10  กลีบ
- พริกชี้ฟ้าแดง  1-2  เม็ด
- น้ำส้มสายชู  2  ช้อนโต๊ะ
- น้ำมะนาว  1  ช้อนโต๊ะ
- น้ำปลา น้ำตาลทรายอย่างละ  2  ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ 

- ตำรากผักชี กระเทียม พริกไทย พริกชี้ฟ้าแดงให้ละเอียด ปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชู น้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาลทราย ชิมรส   
- จัดแตงกวา หอมหัวใหญ่ใส่จาน วางไข่ต้ม  กุ้งต้ม ผักชี ใบสะระแหน่ ราดน้ำยำ คลุกให้เข้ากันแล้วรับประทานทันที


ขอบคุณ : siamdara

ประโยชน์ของแตงกวา


แตงกวา



ประโยชน์สุขภาพ

เนื้อแตงกวาประกอบด้วยหลักของน้ำเท่านั้นแต่ยังมี ascorbic acid (วิตามินซี) และกรด caffeic ทั้งสองที่ช่วยบำรุง ผิวและลดอาการบวม ผิว Cucumbers'hard จะอุดมไปด้วยเส้นใยและมีแร่ธาตุต่างๆรวมทั้งผลซิลิกา, โพแทสเซียมและแมกนีเซียม


ผิวสดใส

ซิลิกาในแตงกวาเป็นองค์ประกอบสำคัญของเนื้อเยื่อสุขภาพกันซึ่งรวมถึงกล้ามเนื้อ, กระดูกอ่อนและกระดูก. น้ำแตงกวามักจะเป็นแหล่งของซิลิกาเพื่อปรับปรุงผิวและสุขภาพของผิวพร้อมด้วยเนื้อหาน้ำแตงกวาสูงทำให้ธรรมชาติ hydrating-ต้องสำหรับผิวเรือง. แตงกวาจะใช้ topically ประเภทต่างๆของปัญหาผิวรวมถึงอาการบวมใต้ตาและผิวไหม้. สองสารในแตงกวากรด ascorbic(วิตามิน ซ๊) และกรด caffeic(กรดกาเฟอิก) ป้องกันการเก็บน้ำซึ่งอาจอธิบายว่าทำไมแตงกวาใช้ topically มักจะมีประโยชน์สำหรับตาบวม, เผาไหม้และโรคผิวหนัง

อาหารไทย : มะเขือเทศสวรรค์

มะเขือเทศสวรรค์





ส่วนผสมในการทำมะเขือเทศสวรรค์

1.มะเขือเทศลูกใหญ่จำนวน  3 ลูก
2เต้าหู้ขาวชนิดอ่อนสับ ละเอียดจำนวน 1 แผ่น
3.เห็ดหอมปรุงรสสับละเอียดจำนวน 4 ดอก
4.เห็ดฟางต้มสุกสับละเอียดจำนวน 100 กรัม
5.แห้ว ต้มสุกสับละเอียดจำนวน 10 หัว
6.แป้งมันจำนวน 1 ช้อนโต๊ะ
7.พริกไทยป่น 1/4 ช้อนชา
8.น้ำตาลทรายจำนวน 1/2 ช้อนชา
9.เกลือป่นจำนวน 1/2 ช้อนชา
10.ซีอิ๊วขาวจำนวน 1 ช้อนชา
11.ซอสมะเขือเทศจำนวน 2 ช้อนโต๊ะ
12.น้ำซุปผักจำนวน 1/2 ถ้วย
13.น้ำมันเห็ดหอมจำนวน 1 ช้อนโต๊ะ
14.น้ำมันพืชจำนวน 1 ช้อนโต๊ะ


ขั้นตอนการทำ

ขั้นตอนที่ 1. ขั้นตอนแรกเลยก็คือจะต้องนำมะเขือเทศไปล้างให้สะอาดก่อนนะคะ จากนั้นก็ให้ผ่าครึ่งลูกตามขวาง แล้วจากนั้นก็ให้ตักไส้ออกแล้วก็จักเป็นดอกให้มีความสวยงามนะคะ จากนั้นก็พักเอาไว้เพื่อให้มะเขือเทศสะเด็ดน้ำก่อนค่ะ

ขั้นตอนที่ 2. ต่อมาก็ให้ผสมเต้าหู้ เห็ดหอม เห็ดฟาง แห้ว ผสมให้เข้าด้วยกัน แล้วจากนั้นก็ให้ตักใส่ลงไปในมะเขือเทศจนเต็มนะคะ

ขั้นตอนที่ 3. แล้วจากนั้นก็ให้นำไปนึ่งในน้ำเดือด โดยที่จะต้องใช้ไฟแรงนะคะ โดยใช้ประมาณ 5 นาทีจากนั้นก็ยกลงเพื่อที่จะพักไว้ก่อนค่ะ

ขั้นตอนที่ 4. จากนั้นก็ให้ใส่น้ำมันลงไปในกระทะแล้วก็ให้ตั้งไฟจนให้ร้อน แล้วก็สาใส่น้ำซุปลงไป พริกไทยน้ำตาลทราย น้ำมันเห็ดหอม เกลือ ซีอิ๊วขาว ซอสมะเขือเทศจากนั้นให้คนแล้วจะต้องให้ส่วนผสมเข้ากัน จากนั้นพอน้ำเดือดแล้วก็ให้ละลายแป้งมันเข้ากับน้ำ แล้วคนไปพอข้น จากนั้นก็สามารถตักราดบนมะเขือเทศ แต่งด้วยใบขึ้นฉ่าย และสามารถที่จะเสิร์ฟได้แล้วค่ะ


ขอขอบคุณบทความดีดีจาก    food.thaibizcenter.com


มะเขือเทศ

มะเขือเทศ



ประโยชน์ของมะเขือเทศ

ผลมีรสเปรี้ยวช่วยดับกระหายทำให้เจริญอาหาร บำรุงและกระตุ้นกระเพาะอาหาร ลำไส้ ไต ให้ทำงานได้ดีด้วยช่วยขับพิษและสิ่งคั่งค้างในร่างกายเป็นยาระบายอ่อน ๆ และเหมาะที่จะเป็นอาหารสำหรับคนเป็นโรคนิ่ว วัณโรค ไทฟอยด์ หูอักเสบ และเหยื่อตาอักเสบ ให้รับประทานผลสดลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งในลำไส้ และมะเร็งต่อมลูกหมาก 

โดยรับประทานมะเขือเทศเป็นประจำผิวหนังที่โดนแดดเผา โดยใช้ใบตำให้ละเอียดทาบริเวณที่เป็น


นำราก ลำต้น และใบแก่ต้มกับน้ำรับประทานแก้อาการปวดฟัน
นำน้ำมะเขือเทศพอกหน้า หรืออาจจะมะเขือเทศสุกฝานบาง ๆ แปะบนใบหน้า จะช่วยให้ผิวหน้าอ่อนนุ่มรักษาสิว สมานผิวหน้าให้เต่งตึงช่วยลดการแข็งตัวของผนังหลอดเลือด รักษาโรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟัน ช่วยบำรุงสายตา และช่วยย่อยอาหาร ลดความดันโลหิต และช่วยบรรเทาอาการป่วยของผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจ 

โรคความดันโลหิตสูง และโรคตับอักเสบ โดยรับประทานมะเขือเทศสุกเป็นประจำ
คั้นน้ำมะเขือเทศสุกหรือปั่น ดื่มรับประทาน ลดอาการท้องอืดเฟ้อ และอาหารไม่ย่อย ช่วยดับกระหายคลายร้อน และช่วยรักษาโรคแผลร้อนใน


วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556

ยำตะไคร้


 ยำตะไคร้




ส่วนผสม    

 1. ตะไคร้ต้นอ่อนซอย 10 ต้น
 2. พริกขี้หนูสวนสับ  5 เม็ด  
 3. หอมแดงซอย  1 ช้อนโต๊ะ  
 4. ใบสาระแหน่  1 ช้อนโต๊ะ    
 5. กุ้งสดแกะเปลือก ผ่านหลัง 8 ตัว 
 6. หมูสับ 100 กรัม  
 7. ถั่วลิสงคั่ว หรือ ทอด 3 ช้อนโต๊ะ  
 8. น้ำปลา 3  ช้อนโต๊ะ  
 9. น้ำมะนาว 4 ช้อนโต๊ะ 
 10. น้ำตาลทราย  3 ช้อนชา  

วิธีทำ :  

ตะไคร้เลือกต้นอ่อนๆ ปอกข้างนอกออกล้างน้ำ ซอยบางๆ หอมแดงซอย ต้นหอมผักชีฝรั่งซอย

ผสมน้ำตาล น้ำปลา น้ำมะนาว พริกขี้หนูสับ ชิมให้ออกรส เปรี้ยว เค็ม เผ็ด หวานนิดหน่อย
ลวกหมูสับและ กุ้งสดให้สุก
  
ผสมตะไคร้ซอย หอมแดง น้ำยำคนให้เข้ากัน ใส่กุ้งสดและหมูสับลงไปคลุกให้เข้ากัน โรยด้วย ถั่วลิสงคั่ว และใบสาระแหน่บนจาน


ตะไคร้



:
ทั้งต้น 

1. รสฉุน สุมขุม แก้หวัด ปวดศีรษะ ไอ
2. แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ขับลมในลำไส้ บำรุงไฟธาตุ
3. ทำให้เจริญอาหาร แก้ปวดกระเพาะอาหาร แก้ท้องเสีย
4. แก้ปวดข้อ ปวดเมื่อย ฟกช้ำจากหกล้ม ขาบวมน้ำ
5. แก้โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่ว ขับปัสสาวะ ประจำเดือนมาผิดปกติ
6. แก้ปัสสาวะเป็นเลือด แก้โรคหืด

ราก
สรรพคุณ

1. แก้เสียดแน่น แสบบริเวณหน้าอก ปวดกระเพาะอาหารและขับปัสสาวะ
2. บำรุงไฟธาตุ ขับปัสสาวะ แก้นิ่ว แก้ปัสสาวะพิการ
3. รักษาเกลื้อน แก้อาการขัดเบา
ใบสด - มีสรรพคุณช่วยลดความดันโลหิตสูง แก้ไข้
ต้น -  มีสรรพคุณเป็นยาขับลม แก้ผมแตกปลาย เป็นยาช่วยให้ลมเบ่งขณะคลอดลูก ใช้ดับกลิ่นคาว แก้เบื่ออาหาร บำรุงไฟธาตุให้เจริญ แก้โรคทางเดินปัสสาวะ นิ่วปัสสาวะพิการ แก้หนองใน



วิธีและปริมาณที่ใช้ :

แก้อาการท้องอืดท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด ปวดท้อง
-ใช้ลำต้นแก่ๆ ทุบพอแหลก ประมาณ 1 กำมือ (ประมาณ 40- 60 กรัม ) ต้มเอาน้ำดื่ม หรือประกอบเป็นอาหาร
- นำตะไคร้ทั้งต้นรวมทั้งรากจำนวน 5 ต้น สับเป็นท่อน ต้มกับเกลือ ต้ม 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วน รับประทานครั้งละ 1 ถ้วยแก้ว รับประทาน 3 วัน จะหายปวดท้อง
แก้อาการขัดเบา ผู้ที่ปัสสาวะขัดไม่คล่อง (แต่ต้องไม่มีอาการบวม)
- ใช้ต้นแก่สด วันละ 1 กำมือ (ประมาณ 40- 60 กรัม , แห้งหนัก 20- 30 กรัม ) ต้มกับน้ำดื่มครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 มิลลิลิตร) วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร
- ใช้เหง้าแก่ที่อยู่ใต้ดิน ฝานเป็นแว่นบางๆ คั่วไปอ่อนๆ พอเหลือง ชงเป็นชาดื่ม ครั้งละ 1 ถ้วยชา วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร

สูตรทำอาหาร : ต้มมะระยัดไส้หมูสับ

ส่วนผสม


* มะระ 2 ลูก
* หมูสับ 300 กรัม
* กระเทียมสับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
* รากผักชีหั่นละเอียด 2 ราก
* ซิอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
* ซ๊อสหอยนางรม 2 ช้อนชา
* น้ำตาล 2 ช้อนชา
* เห็ดหอม 3 ต้น (หั่นเป็นชิ้นพอดีคำ)
* แครอทหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ 1 ลูก
* เกลือ (เพื่อลดความขมของมะระ)
* น้ำซุป 3 ถ้วยตวง (หรือน้ำเปล่า)
* พริกไทยป่น 1/2 ช้อนชา
* ผักชี (สำหรับแต่งหน้าอาหาร)



วิธีทำ

1. ล้างมะระให้สะอาดและหั่นเป็นชิ้นความยาวประมาณ 2 นิ้ว ควักเอาไส้ภายในมะระออกให้หมด จากนั้นทาเกลือภายนอกและภายในให้ทั่ว ทิ้งไว้ 10 - 15 นาที แล้วจึงนำไปล้างด้วยน้ำเปล่าจนสะอาด
2. ในชามขนาดกลาง, ใส่เนื้อหมู, กระเทียม, รากผักชี, ซิอิ๊วขาว (1 ช้อนโต๊ะ), ซ๊อสหอยนางรม (1 ช้อนชา)และน้ำตาล (1 ช้อนชา) นวดด้วยมือจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันเป็นเนื้อเดียว จากนั้นจึงนำไปยัดใส่ในมะระที่เตรียมไว้ในขั้นตอนที่หนึ่ง
3. นำน้ำซุป (หรือน้ำเปล่า) ไปใส่ในหม้อและนำไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง รอจนเดือดจึงใส่มะระยัดไส้, เห็ดหอม, แครอท, ซิอิ๊วขาว (1 ช้อนโต๊ะ), ซ๊อสหอยนางรม (1 ช้อนชา) และน้ำตาล (1 ช้อนชา) หลังจากใส่เครื่องปรุงทั้งหมด รอจนน้ำซุปเดือดอีกครั้งจึงหรี่ไฟลง ตุ๋นทิ้งไว้ด้วยไฟอ่อนอย่างน้ิอยหนึ่งชั่วโมง (ยิ่งตุ๋นนาน รสชาตของน้ำซุปยิ่งอร่อยขึ้น)
4. เมื่อตุ๋นได้ที่แล้วตักใส่ถ้วย โรยหน้าด้วยผักชีและพริกไทยนิดหน่อย เสริฟทันทีพร้อมข้าวสวยร้อนๆ

ที่มา : ezythaicooking

มะระ





ประโยชน์ และ สรรพคุณของมะระ

หลายคนอาจจะคุณหูกับคำพูดที่ว่า หวานเป็นลมขมเป็นยา กันใช่ไหมล่ะค่ะ ประโยนชน์และสรรพคุณของมะระก็เฉดเช่นเดียวกันกับคำพูดโบร่ำโบราณนี้ค่ะ เพราะมะระก็จัดว่าเป็นสมุนไพรที่ดีนักแลอีกทั้ง สรรพคุณของมะระ ก็มีมากโข และวันนี้เราก็มีเรื่องราวของ สรรพคุณของมะระ และ ประโยชน์ของมะระ มาฝากทุกท่านกันด้วยนะค่ะ มาดูกันดีว่า สรรพคุณของมะระ และ ประโยชน์ของมะระ มีอะไรกันบ้างน๊า...



ประโยชน์ / สรรพคุณของมะระ

อย่างแรกเลย คือ ความขมของมะระนั้นสามารถช่วยให้เราเจริญอาหาร เพราะสารขมที่อยู่ในมะระนั้นจะช่วยกระตุ้นให้น้ำย่อยออกมามากจึงทำให้รับประทานอาหารได้มากขึ้น ซึ่งเราอาจจะนำมะระไปลวกหรือเผาไฟจิ้มแล้วนำมาจิ้มกับน้ำพริกก็ได้นะคะ

คุณสมบัติในการการบำบัดและรักษาโรคเบาหวานระยะเริ่มต้นด้วยสารอาหารในมะระซึ่งทำหน้าที่เพิ่มเบต้าเซลล์ในตับอ่อน โดยการกระตุ้นให้เกิดการสร้างอินซูลิน (ฮอร์โมนควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด) อีกทั้งมะระยังมีเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ย่อยน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรต สารอาหารจะผสมอยู่ในรูปของโปรตีนซึ่งสามารถบรรเทาอาการเจ็บป่วยที่เกิดจากโรคตับและโรคเบาหวานได้ มะระยังสามารถแก้โรคตับอักเสบ ปวดหัวเข่า ม้ามอักเสบได้ค่ะ โดยรับประทานมะระดิบเป็นประจำจะช่วยได้ค่ะ




นอกจากนี้มะระยังมีคุณค่าทางอาหารมากมายเพราะอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี วิตามินบี1 - บี3, เบต้าแคโรทีน, ไฟเบอร์, ธาตุเหล็ก, โพแทสเซียม, เป็นต้น

เมนูอาหารจากมะระ ได้แก่ ต้มจืดมะระยัดไส้, มะระต้มจับฉ่าย, ผัดะมะระหมูสับ, มะระผัดกุ้ง, มะระผัดน้ำมันหอย เป็นต้น หากจะลดความขมของมะระต้องลวกหรือต้มนาน ๆ โดยคลุกเคล้ากับเกลือก่อนที่จะนำไปปรุงหรือต้มน้ำแล้วเทน้ำทิ้ง 1 ครั้ง ก่อนนำมารับประทานจะช่วยให้กินมะระได้อย่างสบายใจ

แถมท้ายอีกนิดนะค่ะ ด้วยข้อควรระวัง เราทานมะระที่ดิบ ๆ กันได้ แต่ห้ามรับประทานมะระที่มีผลสุกนะค่ะ เพราะอาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียนได้ค่ะเนื่องจากมีสารซาโปนินอยู่มาก ซึ่งสารนี้จะทำให้เป็นพิษต่อร่างกายค่ะ อีกอย่างอย่าทานมะระมากจนเกินไปนะค่ะ เพราะจะทำให้ท้องเสีย เนื่องจากมีฤทธิ์เป็นยาระบาย


ขอขอบคุณข้อมูลจาก teenpath ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต

วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2556

วิธีทำ : น้ำสำรอง


วิธีทำ

1. นำลูกสำรองไปล้างน้ำเอาเศษผงที่ติดมากับเปลือกออกให้มากที่สุด
2. นำลูกสำรองไปแช่น้ำไว้ 4- 5 ชั่วโมง โดยพยายามกดให้ลูกสำรองจมไว้ (เพื่อที่ลูกสำรองจะได้พองออกมากที่สุด) 
3. เมื่อลูกสำรองพองออกได้ที่แล้วจะเห็นเป็นวุ้นๆ ลอยอยู่ ให้เราเลือกเอาเมล็ดออก โดยน้ำวุ้นที่ได้ยังมีเปลือกปนอยู่
4. นำวุ้นที่ได้ใส่ตะแกรงตาถี่ ๆ แล้วเปิดน้ำไล่น้ำเก่าออกจนหมดกลิ่น (เปิดน้ำไล่จนน้ำสีดำเป็นน้ำใส)
5. ตักวุ้นใส่ผ้ากรอง รวบผ้าแล้วบีบรูดเอากากออก เอาเฉพาะเนื้อวุ้นไว้ (ตักวุ้นใส่ผ้ากรองที่ละน้อยพอที่จะรูดออกได้)
6. นำวุ้นที่ได้เติมน้ำแล้วนำไปต้ม คอยคนไม่ให้ติดก้นหม้อ ใส่น้ำตาลทราย หรือน้ำหญ้าหวาน ตามต้องการ


หมายเหตุ:
- ควรทดลองทำทีละน้อย เพราะลูกสำรองแช่น้ำแล้วจะพองออกมามาก
- น้ำสำรองที่ได้สามารถเก็บไว้ในช่องแข็งได้นาน
- กากใยที่ปนอยู่ในวุ้นบ้างมีประโยชน์


เวลาที่เหมาะแก่การทานลูกสำรอง
03.00 ถึง 05.00: จะช่วยบำรุงปอดให้แข็งแรง
05.00 ถึง 07.00: จะช่วยบำรุงลำไส้ใหญ่ให้บริหาร
07.00 ถึง 09.00: ช่วงเวลาอาหารเช้าจะช่วยรักษาและเคลือบกระเพาะอาหาร
09.00 ถึง 11.00: ช่วยดูดซับไขมันในลำไส้และกระเพาะอาหาร ช่วยลดไขมันหน้าท้องได้ดี
บ่ายถึงเย็น : จะบำรุงไตให้แข็งแรง
หลัง19.00 : ช่วงเวลาอาหารเย็น การกินคู่น้ำดอกคำฝอย จะช่วยลดไขมันในเลือด
ก่อนนอน : ช่วงเวลานี้จะช่วยให้ขับถ่ายได้ดีในตอนเช้า

ที่มา : กินเป็นลืมป่วย












ลูกสำรอง : ต้นสำรอง


 

น้ำสำรอง" เครื่องดื่มสมุนไพรที่ชูสรรพคุณเรื่องของการกำจัดไขมันออกจากร่างกาย แบบวิธีธรรมชาติ หลายคนกำลังให้ความสนใจของ ลูกสำรอง” “ลูกจองภาคอีสานเรียก หมากจองทางใต้เรียก พุงทะลายเป็นไม้ที่พบได้ในป่าดงดิบที่ จ.จันทบุรี ตราด 

ชาวจีนรู้จักในสรรพคุณแก้ ร้อนใน ท้องเดิน ลดอาการปวด บำรุงไต ล้างไขมันในลำไส้ เคลือบไขมันในลำไส้ ลดความอ้วน ช่วยดูดซับไขมันเอาไว้ แล้วอุ้มไปทิ้งพร้อมการขับถ่าย ดังนั้นคนภาคใต้จึงเรียกว่าพุงทะลายกินเป็นประจำจะช่วยลดพุงได้

การกินก่อนนอนจะช่วยให้ขับ ถ่ายดีในตอนเช้า เนื้อที่พองน้ำแล้ว สามารถนำมาฟอกสีเพื่อนำไปทำรังนกเทียมได้

หมากจอง มีชื่อวิทยาศาสตร์ ว่า Scaphium macropodum Beaum Sterculiacea เป็นไม้ยืนต้นสูงประมาณ 4-5 เมตร มีเมล็ดรูปรี สีน้ำตาล
เปลือกหุ้มเมล็ดชั้นนอกมีสารเมือกจำนวนมาก ซึ่งจะพองตัวในน้ำ ลักษณะคล้ายวุ้น และส่วนนี้นำมาทำอาหาร และเป็นเครื่องดื่มสุขภาพได้ โดยทำน้ำเชื่อมจากน้ำตาลกรวดนำเนื้อสำ รองที่เป็นวุ้นผสมลงไป น้ำตาลกรวดทำให้รสชาติไม่หวานแหลม ดื่มแล้วชื่นใจ
แนวโน้มของไม้พันธุ์ นี้อาจสูญพันธุ์ เพราะคุณสมบัติส่วนตัวของไม้ต้นนี้เอง ประกอบกับประชาชนมักเก็บผลโดยการโค่นต้นลงมามากกว่ารอการเก็บผลร่วงหล่น

เนื่องจากคุณสมบัติของสำรองช่วยลดน้ำหนัก ทำให้ถูกใจสาว ๆ เจ้าเนื้อ ทำให้หมากจองขายดิบขายดี เมื่อนำแปรรูปเป็นอาหารต่าง ๆ เช่น ซุปหมากจอง ลอยแก้ว หรือเครื่องดื่มสุขภาพ เป็นต้น.
ลูกสำรอง เป็นพืชสมุนไพรขึ้นอยู่ในป่า ซึ่งคนโบราณจะเข้าป่า เพื่อเก็บลูกสำรองนำมาแช่น้ำกิน เพื่อแก้ร้อนในกระหายน้ำ ทำให้ชุ่มคอ และจะกินเพื่อประทังหิวจากคุณประโยชน์ดังกล่าว อีกทั้งปัจจุบันกลุ่มผู้บริโภคจะนิยมน้ำพร้อมดื่มเพื่อสุขภาพ
ข้อมูลสรรพคุณจาก หน่วยบริการฐานข้อมูลสมุนไพร ณ สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล มีดังนี้


ที่มา : http://www.phoomtai.com

น้ำฟักทอง : เพื่อสุขภาพ


น้ำฟักทอง 



ฟักทอง เป็นพืชที่สามารถนำมารับประทานได้ทั้งยอดและผล ปรุงอาหารได้ทั้งคาวและหวานหลากหลายชนิด เป็นผักที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเขตร้อนของอเมริกา ต่อมามีการนำมาปลูกในประเทศเขตร้อนทั่วไป รวมทั้งประเทศไทย เป็นพืชที่ให้คุณค่าต่อร่างกายสูง สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลายชนิดรวมทั้งเครื่องดื่มสมุนไพร

ส่วนผสม

ฟักทองแก่ 1 ถ้วยตวง
น้ำสะอาด 3 ถ้วยตวง
น้ำผึ้ง 1 ถ้วยตวง
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา


วิธีทำ
1.เลือกฟักทองที่เนื้อหนาดี นำมาล้างน้ำให้สะอาดแล้วนำไปนึ่งให้สุก เอาแต่เนื้อเหลืองๆใส่ในเครื่องปั่น เติมน้ำสะอาดลงไปแล้วปั่นให้ละเอียด

2. นำน้ำที่ได้ไปต้มให้เดือด เติมน้ำผึ้งลงไปตามด้วยเกลือป่นเล็กน้อย ชิมรสตามชอบใจ

3. เมื่อได้รสชาติตามต้องการแล้ว ยกลง กรองด้วยผ้าขาวบางให้สะอาด จะได้น้ำฟักทองสีเหลืองน่ารับประทาน รสหวานมัน

ฟักทอง เพื่อสุขภาพ






ปัจจุบันกระแสนิยมน้ำสมุนไพร ซึ่งเป็นน้ำดื่มที่ได้จากการใช้ส่วนประกอบต่าง ๆ ของพืช เช่น ผลไม้ หรือ ธัญพืชต่าง ๆ นำมาแปรรูปให้เหมาะสมตามฤดูกาล การเตรียมน้ำสมุนไพรไว้ดื่มเองนั้น ราคาจะย่อมเยา สะอาด ปราศจากสารพิษรสชาติจะถูกปากของแต่ละบุคคล 

 นอกจากนี้คุณค่าและประโยชน์ของน้ำสมุนไพรยังเชื่อว่ามีมากมายหลายประการ โดยเฉพาะน้ำสมุนไพรให้คุณค่าและประโยชน์ต่อร่างกายโดยตรง มีผลต่อระบบการย่อยอาหาร เจริญอาหาร ให้พลังงาน ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง ร่างกายกระชุ่มกระชวย

และอุดมไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ และยังช่วยบำรุงเส้นผม ช่วยควบคุมไขมันส่วนที่เกิดจากการบริโภคเนื้อสัตว์ ทำให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากสารอาหารในน้ำสมุนไพรช่วยควบคุมระบบการทำงานของร่างกายทำให้สารอาหารชนิดอื่นได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ 

ฟักทองเป็นพืชตระกูลมะระ จัดเป็นไม้เถาขนาดใหญ่ เลื้อยตามดิน ยาว 5-12 เมตร เถา ก้านใบ แผ่นใบ ก้านดอก กลีบเลี้ยง และผลอ่อนมีขนยาว ใบเป็นใบเลี้ยงเดี่ยว เว้าเป็นหยัก ดอกเดี่ยว ดอกตัวผู้กับตัวเมีย แยกกันแต่อยู่ในเถาเดียวกัน ผิวผลเมื่อยังอ่อนออกสีเขียว เมื่อแก่จะเป็นสีเขียวสลับเหลือง ผิวขรุขระ เปลือกแข็ง เนื้อในสีเหลือง ไส้เส้นใยสีเหลืองนิ่ม มีเมล็ดสีขาวแบน ๆ ติดอยู่จำนวนมาก

 เมล็ดฟักทองมีสารชื่อ คิวเคอร์บิติน (cucurbitine) มีฤทธิ์ฆ่าพยาธิตัวตืดได้ และมีวิตามินซีในปริมาณสูง นอกจากนั้นยังมีเบต้าแคโรทีนในปริมาณที่สูงมากเช่นกัน

 คุณค่าทางโภชนาการ 
ในเนื้อฟักทอง มีวิตามินเอสูงมาก มีฟอสฟอรัส แคลเซียม วิตามินซี แป้ง สารสีเหลืองและโปรตีน ส่วนในใบอ่อน มีวิตามินเอสูงเท่ากับเนื้อฟักทอง มีแคลเซียมและฟอสฟอรัสสูงกว่าในเนื้อ ตรงส่วนดอก มีวิตามินเอ ธาตุแคลเซียมและฟอสฟอรัส มีวิตามินซีเล็กน้อย และเมล็ดยังมีน้ำมัน แป้ง ฟอสฟอรัส โปรตีนและวิตามินอีกด้วย

 สรรพคุณ 
เมล็ด สามารถขับพยาธิตัวตืด ขับปัสสาวะ และบำรุงร่างกาย ส่วนของราก สามารถช่วยบำรุงร่างกาย แก้ไอ ถอนพิษของฝิ่น ส่วนน้ำมันจากเมล็ด บำรุงระบบประสาท และเยื่อกลางผล สามารถเอามาพอกแก้ฟกช้ำ แก้ปวดอักเสบได้ด้วย

    

ลูกเดือย : แก้โรคเกาต์



"ลูกเดือย"  สูตรแก้เกาต์ 



    โรคเกาต์  มีคนเป็นกันเยอะ  เมื่อเป็นแล้ว ทรมานมาก  โดยเฉพาะถ้ากินอาหารจำพวกสัตว์ปีก และอาหารจำพวกเครื่องในเข้าไป  อาการเกาต์กำเริบขึ้นมาทันที  ส่วนใหญ่จะบวมในบริเวณข้อเท้า  ร้อนผ่าว  ปวดมาก  ถึงขนาดเดินไม่ได้เลยทีเดียว  ต้องกินยาที่แพทย์จัดให้เป็นประจำ  แต่กว่าอาการจะทุเลาลงหรือหายปวดบวม  ต้องใช้เวลานานกว่าครึ่งค่อนวัน  ทำให้เสียงานเสียการไปเลย  ซึ่งโรคเกาต์ควบคุมได้  ถ้าไม่กินอาหารที่เป็นสัตว์ปีก หรือเครื่องใน  อาการปวดบวมจะไม่เกิด หรือหากเกิดก็เพียงเล็กน้อย  โรคเกาต์ เป็นโรคที่รักษาไม่หายขาด  เมื่อกินของผิดสำแดงเข้าไป อาการจะกำเริบทันที  ต้องมียาหมอกินเป็นประจำ


ในส่วนของสมุนไพร  มียาแก้เกาต์กัหลายสูตร  รวมทั้ง "ยาต้มคลายเส้นไม้เท้าเฒ่าอาลี"  ก็ช่วยได้  แต่ไม่ได้รักษาให้หายขาด  เพียงควบคุมไม่ให้เกิดอาการปวดบวม เมื่อกินอาหารต้องห้ามเข้าไป  ดีกว่าปล่อยให้ปวดบวมเดินไม่ได้  ส่วนสูตร "ลูกเดือย"  แก้เกาต์ เป็นสูตรผู้เฒ่าผู้แก่บอกกันต่อมา  ตั้งแต่โบราณแล้วว่า ใครรู้ตัวว่าเริ่มจะเป็นเกาต์ ในยุคสมัยก่อน ให้เอา "ลูกเดือย" หุงรวมกับข้าเจ้าอัตราส่วน  "ลูกเดือย"  2  ส่วน  ข้าว  1  ส่วน  กินทุกมื้อกับอาหารเป็นประจำ  จะช่วยทำให้คนที่เริ่มจะเป็นเกาต์ ไม่เป็นเกาต์อีก  ส่วนคนที่เป็นอยู่แล้ว  อาการปวดบวมจะน้อยลงมาก  แม้จะกินอาหารต้องห้ามเข้าไป

      ชาวญวน  ในประเทศไทยนิยมเอา "ลูกเดือย" นึ่งกับข้าวเหนียวปนน้ำขมิ้น  ทำให้ข้าวเหนียวเป็นสีเหลือง  พอนึ่งสุกโรยด้วยงาขาวหรืองาดำ  ห่อด้วยใบตองขาย  กินกับหมูย่างตะไคร้ และเนื้อย่างแท้ ๆ  หอมอร่อยมาก  ได้ประโยชน์ าช่วยบรรเทาเกาต์ดีนัก  ปัจจุบันไม่มีใครทำขายแล้ว
      


ลูกเดือย หรือ  COIXIACHRYMA  JOBI  LINN.  อยู่ในวงศ์  GRAMINEAE มีสรรพคุณเฉพาะ  ใช้เป็นยาเย็น  ขับปัสสาวะ  แก้ร้อนใน  บำรุงไต  บำรุงม้าม  บำรุงเลือดลมในสตรีหลังคลอดดีมาก



สูตรอาหารโจ๊กลูกเดือยธัญพืช





ระยะเวลาประมาณ 1 ชม 30 นาที
สำหรับ 4-6 ถ้วย

เครื่องปรุงโจ๊กลูกเดือยธัญพืช

1. ลูกเดือย (ล้าง-ซาวน้ำ 2-3 ครั้ง) 1 ถ้วย
2. มันเทศ (ล้าง-ปอกเปลือก-หั่นเต๋า) 1 หัว
3. มันเทศ (หั่นเต๋าเล็ก-ต้มสุก) 1/2 ถ้วย
4. เผือก (หั่นเต๋าเล็ก-ต้มสุก) 1/2 ถ้วย
5. เกลือ 1 ช้อนชา
6. ซีอิ๊วขาว 1-2 ช้อนชา
7. น้ำซุป 10 ถ้วย

วิธีทำโจ๊กลูกเดือยธัญพืช

1. หม้อใส่น้ำซุป ลูกเดือย มันเทศ ต้มไฟกลาง จนลูกเดือยพอนิ่ม ใช้เครื่องปั่นมือหรือใส่เครื่องปั่นหยาบๆ นำไปต้มต่อจนลูกเดือยนิ่ม ประมาณ 1 1/2 - 2 ชม หมั่นคอยคนเพราะลูกเดือยจะติดก้นหม้อและไหม้ได้ ถ้านำงวดคอยเติมน้ำซุป ใส่เผือกและมันเทศหั่นเต๋าเล็ก ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย